วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

เด็กแว้น...ปัญหาสังคม...ปัญหาครอบครัว...รักและโลภ

“สิ่งที่วัยรุ่นอยากได้สามอันดับแรกคือ โทรศัพท์มือถือ รถมอเตอร์ไซค์ และปืน”


คำบอกเล่าถึงสามสิ่งที่เด็กวัยรุ่นชายอายุเพิ่งทำบัตรประชาชนเป็นครั้งแรกต้องการได้ครอบครองผ่านนักวิจัยอย่าง ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ถึงแม้ว่าสองสิ่งแรกเสมือนไร้พิษภัยเมื่อเทียบกับอาวุธปืน หากแต่พิจารณาอย่างจริงจังจะพบว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ หากนำไปใช้ในทางที่ผิดจะก่ออันตรายมหาศาล โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซด์

การค้นหาสาเหตุว่าทำไมความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ หรือเงิน ไม่ใช่สิ่งที่เด็กวัยรุ่นอยากได้เท่ากับการครอบครองรถมอเตอร์ไซด์สักคัน ได้ทำให้อาจารย์นำตัวเองเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น เพื่อจะได้สามารถอธิบายที่มา วิธีคิด การให้ความหมายและคุณค่าต่อรถมอเตอร์ไซค์ที่เด็กวัยรุ่นยึดถือ ซึ่งอาจารย์ปนัดดาบอกว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่อาจารย์ได้เข้าใจนั้น สามารถสะท้อนภาพสังคมวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีการดำเนินชีวิตหรือโลกของเด็กวัยรุ่นที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจได้เป็นอย่างดี “บริบททางสังคมและวัฒนธรรมมีผลมากต่อการสร้างพฤติกรรมนักบิด และนิยมความรุนแรงในเด็กวัยรุ่น นานวันไปก็ทำให้วิถีแห่งวัฒนธรรมที่ไม่ปลอดภัยนี้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปในที่สุด แม้แรกเริ่มพ่อแม่จะตัดสินใจซื้อรถมอเตอร์ไซด์ให้ลูกไว้ใช้เป็นยานพาหนะไปเรียนหนังสือ หรือซื้อกับข้าวในตลาด หรือกระทั่งใช้มอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งต่อรองกับลูกให้กระทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการก็ตามที” พร้อมได้ยกตัวอย่างคุณแม่ท่านหนึ่งที่หัดลูกให้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบว่า อยากให้ลูกขับมอเตอร์ไซด์เป็นจะได้ช่วยไปซื้อของร้านค้าได้

เช่นเดียวกับเหตุผลของคุณแม่อีกท่านหนึ่งที่ซื้อรถมอเตอร์ไซด์ให้ลูกอายุ 13 ปีโดยในกรณีนี้ต้องอ้อนแม่มานานกว่า 1 ปี ว่า “จะให้เขารีบกลับมาบ้านเพื่อช่วยทำงานบ้าน และจะได้ขี่รถไปโรงเรียนไม่ต้องลำบาก” “บางครอบครัวใช้รถมอเตอร์ไซด์เป็นเครื่องมือยืนยันความรักของตนเองที่มีต่อลูก ควบคู่กับความหวังว่าลูกจะตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาต้องการในลักษณะพิธีกรรมแลกเปลี่ยน(Exchange rituals) ด้วย ดังน้าชายเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเอ่ยถึงแม่ที่มีอาชีพขายไก่ย่างริมบาทวิถีและออกเงินกู้นอกระบบว่า ลูกไม่รู้หรอกว่าแม่ขาดความรัก มันอยากให้ลูกรักมัน ลูกอยากได้รถมันก็ซื้อรถให้ โทรศัพท์เครื่องเป็นหมื่นก็ซื้อให้”

ผศ.ดร.ปนัดดาเล่า อย่างไรก็ดี รถมอเตอร์ไซด์ที่พ่อแม่ซื้อให้เป็นของขวัญหลังทนเสียงออดอ้อนรบเร้าไม่ไหวเหล่านั้น ก็เกือบจะคร่าชีวิตลูกรักให้จากไปได้เช่นกัน ดังกรณีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งขับรถซิ่งบนถนนพบพระแล้วชนกับรถมอเตอร์ไซค์อีกคันจนสลบคาที่ และไม่รู้สึกตัวนานถึง 3 วัน

ทั้งนี้ นับแต่เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเด็กวัยรุ่นในโลกของนักบิดตั้งแต่ปลายปี 2546 จนถึงปัจจุบัน ผศ.ดร.ปนัดดาระบุว่า รถมอเตอร์ไซค์เปลี่ยนชีวิตเด็กและเยาวชนไทยไปในทางเลวร้ายขึ้นมาก

ดังผลสรุปการศึกษาวิจัยที่พบว่า
  1. ทำให้เด็กเดินเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรมเต็มตัว ไม่ตายก็ติดคุก

  2. เข้าสู่กระบวนการกดขี่ขูดรีดแรงงาน

  3. สร้างครอบครัวที่อ่อนแอ

  4. เข้าสู่กระบวนการกลายเป็นนักเที่ยวราตรี กลุ่มเสี่ยงทางการแพทย์ และ

  5. สร้างชื่อประกาศตนเป็นนักเลงรุ่นโตและนักพนัน


“ปรากฏการณ์ความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นชัดเจนยิ่งในชุมชนที่อ่อนแอด้วยอบายมุขและมีต้นทุนทางสังคมน้อย โดยช่วงเย็นหลังโรงเรียนเลิกจะชัดเจนมากจากการที่กลุ่มเด็กและเยาวชนชายในชุมชนทั้งยังเรียนอยู่ และพ้นสภาพนักเรียน รวมถึงกลุ่มทำงานแล้วจะทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะการขี่รถมอเตอร์ไซด์เที่ยวโฉบไปมาระหว่างบ้านเพื่อนในชุมชน นั่งแต่งรถมอเตอร์ไซด์ในกลุ่มเพื่อน ขับรถมอเตอร์ไซค์แข่งกันประลองความเร็วบนถนนภายในชุมชนและถนนเลียบคลองชลประทาน หรือไม่ก็จับกลุ่มกันเล่นเกมที่ร้านเกมในหมู่บ้านทั้งเพื่อความสนุกและพนันเงิน รวมทั้งยังนิยมพนันบอลด้วยจำนวนเงินหลักหมื่นด้วย” พื้นที่สาธารณะภายในชุมชนหลัง 6 โมงเย็นจนถึงกลางดึกจึงเต็มไปด้วยเด็กและเยาวชนชายทั้งยังเรียนหนังสือ ทำงานแล้ว และไม่เรียนหนังสือและทำงานนั่งตั้งวงดื่มเหล้ากันหลังเล่นบอลเสร็จ จนเป็นที่มาของการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ในเด็กๆ ที่ได้วัยรุ่นโตกว่าเป็นแบบอย่าง

ขณะที่เด็กผู้หญิงในชุมชนช่วงเย็นก็จะรวมกลุ่มเฉพาะเพื่อนสนิท 2-3 คนนั่งคุยกันเรื่องแฟนและเรื่องโรงเรียน ไม่ก็คุยโทรศัพท์หรือเปิดเพลงจากโทรศัพท์ฟัง ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านในช่วงค่ำ ต่างจากเด็กและเยาวชนหญิงบางกลุ่มในชุมชนเมืองที่ใช้ชีวิตช่วงค่ำคืนอยู่กับกลุ่มเด็กและเยาวชนชาย ใช้ชีวิตวนเวียนในบริบทของการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด และเพศสัมพันธ์ฉาบฉวย ใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยาและเปลี่ยนคู่บ่อย บ้างก็ร้ายแรงขนาดทำแท้ง

ปัญหาเหล่านี้ ผศ.ดร.ปนัดดาระบุว่า จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นมากเมื่อมีรถมอเตอร์ไซด์ในครอบครอง เพราะเด็กและเยาวชนจะนัดหมายรวมตัวกันขับขี่เสมอ โดยปกติจะนัดหมายทุกวัน แต่จะรวมเป็นกลุ่มใหญ่มากในคืนวันศุกร์และเสาร์ เนื่องจากไม่ต้องไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น ประกอบกับทั้งสองวันนั้นพวกเขาจะนิยมไปเที่ยวสถานบันเทิงด้วย โดยการนัดหมายจะเป็นไปในลักษณะการบอกต่อกันเรื่อยๆ ทั้งในกลุ่มพวกเดียวกันและเด็กต่างกลุ่มที่รู้จักกันผ่านสมาชิกบางคนในกลุ่ม และอีกลักษณะหนึ่งจะบอกข้อมูลนัดหมายผ่านร้านซ่อมและแต่งรถที่เด็กวัยรุ่นเป็นลูกค้าประจำลักษณะการบอกต่อๆ กันเป็นเครือข่ายเรื่อยๆ นี้ทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นเครือข่ายทางสังคมที่มีทั้งเด็กและเยาวชนเจ้าประจำและขาจรที่รู้ข่าวโดยบังเอิญเป็นสมาชิกใหม่สนใจเป็นพักๆ สำหรับสมาชิกขาประจำจะมาร่วมเชียร์ พูดคุยแลกเปลี่ยน และมีส่วนร่วมในการแข่งขันรูปแบบต่างๆ เช่น ดูแลรถ ตกแต่ง จัดหารถ จัดหาตัวขี่ จัดเตรียมรถ และส่งข่าวทั้งเรื่องการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ตัวขี่’ หรือรถของคู่แข่ง เมื่อเด็กและเยาวชนรับรู้ว่ามีการแข่งรถ มีคนเชียร์มาก ตัวแข่งฝีมือดีมีประสบการณ์มากทั้งคู่ และรถแรง พวกเขาก็จะเกิดจินตนาการ ตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน และเชื่อว่าประสบการณ์การขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมาจะทำให้สามารถหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ พวกเขาจึงตื่นตัวกันมากทั้งในแง่ของการเป็นผู้แข่ง ผู้ชม และผู้เชียร์ประสบการณ์จากกระบวนการจัดเตรียมการแข่งขันทั้งรูปแบบทางการและไม่ทางการ รวมถึงร่วมชมการแข่งขันนั้นทำให้เด็กและเยาวชนเกิดแรงบันดาลใจต้องการปรับแต่งเปลี่ยนแปลงรถมอเตอร์ไซค์ของตนเอง และทดลองขี่ในลีลาหวาดเสียวเหมือนผู้แข่งขัน ดัดแปลงรถ ฝึกปรือฝีมือการขี่รถ โดยเริ่มต้นจากการขี่เร็ว แรง ซ้อมทดลองขี่บนถนนสาธารณะบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย เช่น ถนนทางตรงในเวลากลางคืน หรือบริเวณที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติงานอยู่ ทั้งนี้ การปรับแต่งรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กและเยาวชนจะมุ่งเน้นความเร็ว ความแรง โดยปรับแต่งเครื่อง ท่อไอเสีย และเรียนรู้ท่าทางการขี่รถเพื่อให้รถพุ่งไปข้างหน้ารวดเร็วอย่างการหมอบตัวลงมาให้ใกล้ชิดกับแฮนด์เพื่อลดแรงต้านของลม ตลอดจนติดตามข้อมูลการจัดแข่งขัน
การซิ่งรถและแต่งรถของเด็กวัยรุ่นนั้นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งและวิธีการหาเงินมาซื้อหรือตกแต่งรถมอเตอร์ไซค์ บ้างก็ซื้อรถขโมยในราคาเพียง 4,000-5,000 บาท เหมือนดังที่นายตำรวจคนหนึ่งบอกว่าเดี๋ยวนี้รถมอเตอร์ไซค์ขโมยออกขายถึงชายแดนไม่ถึงร้อยละ 20 นอกจากนั้น นายตำรวจที่มีประสบการณ์ปราบเด็กแว้นยังตั้งคำถามว่าทำไมในรถมอเตอร์ไซค์ถึงมีทั้งหิน ขวดเบียร์ ปืน และมีดสปาต้า ซึ่งอารมณ์และความรู้สึกขณะหลบหนีตำรวจของเด็กและเยาวชนจะตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน แตกต่างจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคร่งเครียด ตื่นตัว และคิดตลอดว่าต้องทำด้วยความรัดกุมปลอดภัยที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียหรืออันตรายทั้งในส่วนเจ้าหน้าที่และตัวเด็กวัยรุ่น รวมถึงผู้ใช้รถใช้ถนนอื่นๆ ที่ถึงจะระมัดระวังเพียงใดก็ยังเกิดอันตรายได้เพราะเด็กมุ่งจะหลบหนีอย่างเดียว “ตั้งแต่เป็นตำรวจมา ไม่เคยเห็นเด็กหยุดให้จับแต่โดยดี มีแต่แหกด่าน พุ่งชน เลาะเลี้ยวเข้าช่องโน้นช่องนี้ โอกาสเกิดอันตรายกับคนบริสุทธิ์ก็มีถึงจะทำด้วยความระมัดระวัง”

ยิ่งบวกกับการปกป้องลูกของพ่อแม่ มอเตอร์ไซค์ราคาถูก cc รถที่สูงอยู่แล้วก็มาแต่งให้เร็วแรงขึ้นอีกจากร้านแต่งรถ ก็ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจยากลำบากมาก

“ตำรวจควบคุมตัวเด็กได้แค่ 24 ชั่วโมง ไปสถานพินิจเดี๋ยวก็ปล่อย เด็กไม่กลัว ยิ่งเด็กที่ไม่ได้เรียน ชีวิตเขาไม่กลัวอะไร แต่งสุดขีด บางคนไม่มีเบรค ฝ่าไฟแดงไม่กลัวหรอก ตายก็ตาย”

เด็กและเยาวชนผู้กระทำผิดที่ถูกตำรวจจับและดำเนินคดีส่วนใหญ่เป็นเด็กนอกระบบการศึกษาและไม่มีงานทำ ซ้ำร้ายการไปประกันตัวของพ่อแม่ยังทำให้เด็กออกมากลายเป็นฮีโร่ ขณะแม่บางคนเมื่อรู้ว่าลูกถูกตำรวจจับข้อหาแข่งรถในที่สาธารณะกลางดึกก็กลับให้ท้ายลูกด้วยประโยคเดิม ๆ เช่น “ตำรวจทำเกินไป ลูกฉันแค่ขับรถแข่ง ไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย” รถมอเตอร์ไซด์ของขวัญที่แม่ให้จึงอาจกลายเป็นเครื่องมือเปิดไปสู่โลกแห่งความรุนแรงได้ถ้าหากพ่อแม่ไม่คอยควบคุมดูแลลูกให้ใช้ยานพาหนะชนิดนี้ไปในทางที่ถูกที่ควร รวมทั้งให้ท้ายลูกเมื่อตำรวจปฏิบัติตามหน้าที่จับดำเนินคดี ด้วยท้ายที่สุดแล้วถ้าลูกยังคงเป็น ‘นักบิด’ ต่อไป ความเจ็บปวดรวดร้าวชนิดหัวใจสลายคงมาเยือนสักวันหนึ่งแน่นอนจากการประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บหรือกระทั่งเสียชีวิต

เด็กวัยรุ่นมีความต้องการที่จะแสดงออก แต่ในบางครั้งการแสดงออกที่ขาดการควบคุม การแสดงออกที่ติดอยู่กับค่านิยมผิดๆที่ผู้ใหญ่ป้อนให้เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น และอีกหนึ่งที่ตอกย้ำให้เด็กทำผิดโดขาดสามัญสำนึกก็คือพ่อกับแม่ที่ไม่เคยมองว่าลูกทำผิดนั่นเอง สองแรงบวกจากรักและโลภทำให้เด็กต้องเดินอยู่ในวังวนของความผิดไปชั่วชีวิต..

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

จัดฟันแฟชั่นอันตราย

ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดฟันเป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย การจัดฟันมิใช่เป็นไปเพื่อการรักษาเท่านั้น แต่มีการจัดฟันแฟชั่นซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเพื่อความเท่ เก๋ไก๋ ดูไฮโซ แต่หารู้ไม่ว่าอาจทำให้เกิดโรคร้ายและอันตรายตามมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ท.พิศาล เทพสิทธา นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า จากข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต พบว่า ในเกือบทุกเว็บไซต์ของวัยรุ่นที่เปิดให้แสดงความเห็น จะมีผู้เข้าไปลงโฆษณาและชักชวนให้มีการจัดฟันแฟชั่น โดยให้เบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อไปมักจะเป็นข้อความเหมือนกัน แต่มีการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ไม่ให้เหมือนกัน มีรูปแบบที่โฆษณาว่า เป็นการใช้ลวดและเครื่องมือที่ทันตแพทย์ใช้ มีการประกาศรับสอนจัดฟันแฟชั่น มีบริการรับพิมพ์ฟันถึงบ้าน มีการส่งเครื่องมือจัดฟันที่ทำเสร็จแล้วไปให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ สามารถจัดซื้อลวดจัดฟัน ยาง และอุปกรณ์ในการทำได้ จัดส่งทั่วประเทศ

จากการเดินสำรวจตามสถานที่รับจัดฟันแฟชั่น พบว่า ได้รับความนิยมจากเด็กวัยรุ่นค่อนข้างมาก บางแห่งต้องเข้าคิวในการทำ จนคนทำไม่มีเวลากินข้าวกลางวัน บางแห่งเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยใช้คำว่า แล็บ (lab) สถานที่ทำมักเป็นตลาดนัด แหล่งชุมชน ถ้าเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงจะอยู่หน้าห้างฯ ถ้าเป็นห้างสรรพสินค้าเล็กๆ จะอยู่ในห้างฯ ซึ่งพบได้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

รูปแบบการจัดฟันแฟชั่น คือ
มีการใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ขั้นตอนการทำจะมีการใช้หัวกรอฟันที่เป็นหิน กรอเอาเคลือบฟันออก แล้วใช้กรดฟอสฟอริกกัดเนื้อฟันให้เป็นรูพรุนเล็กๆ เพื่อที่จะให้เกิดการยึดเครื่องมือแบร็คเก็ทให้ติดกับฟันได้ จากนั้นใช้วัสดุยึดระหว่างเครื่องมือแบร็คเก็ทกับฟัน มีการใช้ลวดร้อยเข้าไปในร่องของแบร็คเก็ทแล้วใช้ยางรัดให้ลวดติดกับแบร็คเก็ท

การใส่เครื่องมือถอดได้ ขั้นตอนการทำจะต้องมีการพิมพ์ฟัน เพื่อทำแบบฟัน จะมีการนัดเพื่อมาใส่เครื่องมือในอีก 1 สัปดาห์ โดยคนที่ทำจะส่งให้ทางแล็บที่อยู่ในขบวนการเดียวกันให้ทำเครื่องมือให้ จากนั้นก็จะใส่เครื่องมือในปากให้
อันตรายของการจัดฟันแฟชั่น คือ

ขั้นตอนการทำสกปรก และมีโอกาสได้รับเชื้อโรค เนื่องจากผู้ทำไม่ได้ใส่ถุงมือ ไม่มีการล้างมือด้วยน้ำยากำจัดเชื้อก่อนทำงาน เครื่องมือที่ใช้ เช่น ถาดพิมพ์ฟันใช้แล้วไม่ได้ล้าง มีคราบวัสดุพิมพ์ปากและคราบปูนหล่อแบบติดอยู่ ไม่มีการฆ่าเชื้อใดๆ ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือโรคเอดส์ได้

อันตรายของตัวเครื่องมือจัดฟันแฟชั่น เนื่องจากมีการใช้หัวกรอฟันที่เป็นหิน กรอเอาเคลือบฟันออกทำให้มีการเสียเคลือบฟันไป รวมทั้งการใช้กรดกันฟันจะทำให้เคลือบฟันบางลง ทำให้มีโอกาสที่จะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย ฟันอาจเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม เนื่องจากเครื่องมือที่ใส่มีแรงกดจากลวดที่ใส่ และถ้าลวดกดฟันมากเกินไป จะทำให้มีอาการปวดมากจนอาจทำให้ฟันซี่นั้นตาย เปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือรากฟันละลาย จะต้องรักษารากฟันหรือถอนฟันซี่นั้นทิ้งไป

เมื่อใส่เครื่องมือในปาก เครื่องมืออาจหลุดลงคอ บาดกระพุ้งแก้ม และเนื้อเยื่อ ทำให้เป็นแผล นอกจากนั้นอาจกดเหงือก ทำให้เหงือกอักเสบบวมแดง การมีแผลในช่องปากต่อเนื่องกันนานๆ หลายปี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของเนื้อเยื่อในช่องปากได้ การแปรงฟันทำได้ยากมีเศษอาหารและแผ่นคราบจุลินทรีย์สะสมอยู่รอบๆ

เครื่องมือที่ใส่ เมื่อใส่เครื่องมือนานๆ หลายเดือน ก็อาจทำให้ฟันผุเป็นร่องลึกสีน้ำตาลรอบๆ เครื่องมือที่ใส่ เครื่องมือและยางสีที่ไม่ได้มาตรฐานเมื่ออยู่ในช่องปากและถูกน้ำลายจะเกิดสนิม ยางสีที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารพิษปนเปื้อน และละลายออกมาเมื่อถูกน้ำลายหากสะสมในร่างกายจะเป็นอันตรายได้

การจัดฟันแฟชั่นไม่ได้ทำให้เด็กวัยรุ่นเท่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอันตรายต่อฟันและอวัยวะอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงติดตามมาอีกมาก การจัดฟันแฟชั่นไม่เหมือนแฟชั่นการทำผม เปลี่ยนสีผม หรือการทำเล็บ เพนท์สีบนตัวเล็บ เพราะอุปกรณ์จัดฟันอยู่บนตัวฟันที่ต้องใช้งานในการบดเคี้ยวอาหาร อีกทั้งอวัยวะในช่องปากเป็นอวัยวะที่บอบบาง เกิดอันตรายได้ง่ายและมีโอกาสที่เชื้อโรคและสารพิษจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย เด็กวัยรุ่นจึงไม่ควรตัดสินใจจะจัดฟันแฟชั่นเพราะคิดเพียงแค่ต้องการความเท่ ทันสมัยเหมือนเพื่อนๆ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึง สังคมไทยที่ไม่ได้พัฒนาเป็นสังคมแห่งปัญญา แต่เป็นสังคมที่มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์จากความไม่รู้ของเด็กวัยรุ่น

ที่มาข้อมูล : http://www.healthcorners.com

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เด็กไม่อยากไปโรงเรียนในฝัน


น่าตกใจกับข้อมูลที่วันก่อนผมได้รับทราบมาเรื่องความสนใจการเรียนหนังสือของเด็กไทย เป็นสถิติที่ดูแล้วอันตรายมากกับการพัฒนาประเทศ เพราะกว่า 60 % ไม่อยากไปโรงเรียน มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยในวันนี้ หากเด็กไทยไม่เรียนหนังสือจะเกิดอะไรขึ้น เด็กโง่วันนี้คือผู้ใหญ่โง่ๆในวันหน้า แล้วเมื่อประเทศเราเต็มไปด้วยผู้ใหญ่โง่ๆ ประเทศเราก็จะเจริญเติบโตแบบโง่ๆ แล้วใครล่ะจะมารับกรรมจากความโง่ของเด็กกลุ่มใหญ่ในวันนี้

จากการสำรวจพบว่าเด็กไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเรียนหนังสือไม่สนุก ไม่ชอบครูที่สอน รู้สึกเบื่อกับบทเรียน สิ่งเหล่านี้สะท้อนอะไรอย่างนั้นหรือ ...
ใช่สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาว่าเด็กเบื่อกับรูปแบบการเรียนเดิมๆที่ครูท่องจำมาสอน ท่องมาหลายสิบปี ไม่เคยพัฒนาองค์ความรู้ให้มากกว่าเดิม และมุ่งแต่ทำคุณวุฒิของตัวเอง ครูบางคนก็เอาแต่จับกลุ่มพูดคุยนินทา บ้างก็ขายตรงสาระพัดยี่ห้อ บางครั้งก็เชิงบังคับขายเอากับเด็ก มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาของเรา ระบบที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะพัฒนาประเทศนี้

เราจะปรับปรุงคุณภาพโรงเรียนเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ปรับปรุงคุณภาพการสอนของครูได้หรือไม่ นักการเมืองกับคำพูดเท่ๆเวลาหาเสียงว่าจัดสวัดิการให้เด็กเรียนฟรี สร้างโรงเรียนสีขาว โรงเรียนในฝัน ไร้สาระสิ้นดี...

เด็กไม่อยากไปโรงเรียนในฝัน(ของนักการเมืองที่หาผลประโยชน์จากงบประมาณ) เด็กไม่อยากเรียนฟรี(จากกองทุนที่นักการเมืองจ้องตาเป็นมัน) แต่เด็กอยากได้โรงเรียนที่เข้าใจเขา มีครูที่เข้าใจความคิดของพวกเขา มีครูที่มีองค์ความรู้ใหม่ๆและมีเทคนิคการสอนที่ไม่น่าเบื่อ เด็กแค่อยากได้ครูสักคนที่ดีและเข้าใจเด็กเข้าใจโลกสมัยใหม่...หาให้ได้มั้ย

โลกเปลี่ยนไปเร็วกว่าที่เป็นมาในอดีต เพราะเทคโนโลยีเดินหน้าเปลี่ยนแปลงโลกทุกวัน แต่ระบบราชการ ระบบนักการเมืองของประเทศไทยยังคงยึดมั่นกับฐานความคิดเดิมๆ ผู้ใหญ่ต้องเก่งกว่าเด็ก เพราะผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมากก่อน เพราะผู้ใหญ่มัวแต่คิดเรื่องอาบน้ำร้อน เด็กก็เลยไม่สามารถพัฒนาอะไรได้กว่าการเดินบนเส้นทางไร้องค์ความรู้ที่จะก้าวให้ทันโลก

โลกที่เป็นโลก on line สิ่งเลวร้ายในโลกปรับเปลี่ยนรูปแบบการเข้าหาเด็ก มันเข้าใกล้ตัวเด็กได้อย่างรวดเร็ว ไว เฉียบคม และโครตอันตราย แต่ผู้ใหญ่ นักการเมือง ครู อาจารย์ กับวางแนวป้องกันด้วยความคิดเก่าๆ เดินตามรอยเดิมๆที่สิ่งชั่วร้ายสมัยใหม่มันรู้จักและคุ้นเคย มันจึงหลบหลีกได้ ปล่อยให้เราหลงกับความคิดในกรอบ และหลอกล่อเด็กด้วยความคิดผิดๆที่แฝงมาในรูปแบบใหม่ๆที่ผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนไม่เคยรู้ทัน

จะป้องกันให้เด็กเดินได้ถูกทาง จะทำให้เด็กกลับมามีความสนใจเรื่องการเรียน เราต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนแนวรบกับสื่อและสิ่งยั่วยุสมัยใหม่ เพื่อดึงเด็กให้เข้าสู่ระบบการศึกษา ผู้เป็นครู อาจารย์ ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนความคิดเดิมๆความคิดที่อยู่ในกรอบ มีโลกอยู่แค่กะลาที่สั่งสอนมาจากระบบการศึกษาเก่าๆแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆหงายกะลาของคุณออก แล้วเดินออกมาจับมือเด็กๆคุยกับพวกเขา อย่าตั้งคำถามแต่จงหาคำตอบให้กับเด็ก เพราะเด็กต้องการคำตอบมากกว่าคำถามและคำสั่งเพียงอย่างเดียว...

ในโลกปัจจุปันมันมีคำถามมากพอแล้วสำหรับเด็ก